ผลิต และจำหน่าย น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น แบรนด์ อัมฤทธิ์ น้ำมันมหัศจรรย์ สร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันและรักษาโรค ฆ่าเชื้อโรคร้าย
คลิกกลับไปหน้าแรก Information Link

การวิจัยใหม่เกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว กับไขมันไม่อิ่มตัว มหัสจรรย์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ไขมันอิ่มตัวปลานกลาง สร้างภูมิคุ้มกัน ลดคอลเลสเตอรอล ช่วยเพิ่มไขมันดี HDL ลดปริมาณไขมันเลว LDL
สามารถป้องกัน และรักษาโรคหลอดเลือดอุดตัน ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง

นำเสนอข้อมูลโดย Akesirikul

การพลิกโฉมวงการแพทย์แผนปัจจุบันในการกินไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืช เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ
หยุดการกินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีจากโรงงานอุตสาหกรรม

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด  ?...Dr.Dwight Lundell, M.D.
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!


คำสารภาพผิดจากความเชื่อที่หลงผิด โดย ดร. Dwight Lundell M.D.



บทความนี้เป็นประโยชน์กับหลายท่านที่ยังสงสัยเรื่องทฤษฏีจากแพทย์ เรื่องไขมันอิ่มตัวมีโทษ
ซึ่งเป็นการเผยแพร่ที่ดังระดับโลกในปัจจุบันอีกรอบก็ว่าได้  เป็นการพลิกวงการแพทย์แผนปัจจุบันเลยทีเดียว

        

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด  ?...Dr.Dwight Lundell, M.D.
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!

   ในอดีต ที่ถูกบันทึกไว้มากกว่า 100 ปี คนในเขตเอเชียใช้น้ำมันมะพร้าว เป็นในผลิตภัณฑ์อาหารและยา  รวมทั้งเป็นที่แพร่หลายไปสู่ คนทั้งโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484-88) กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ประเทศฟิลิปปินส์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิก ทางลำเลียงน้ำมันมะพร้าวไปสู่สหรัฐอเมริกาจึงถูกตัดลง ผู้ผลิตอาหารและร้านค้าอาหารจำเป็นต้องขวนขวายหาน้ำมันอื่นมาทดแทน เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันทานตะวัน น้ำมันคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ และก่อให้เกิดมูลค่า มหาศาลต่อวงการอุตสาหกรรมน้ำมันพืชของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง น้ำมันมะพร้าวถูกส่งกลับไปจำหน่ายยังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง จึงเกิดการแข่งขันกับน้ำมันพืชไม่อิ่มตัว ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมา  ระหว่างทศวรรษปี พ.ศ. 2503-12 มีการรายงานผลงานวิจัยว่า น้ำมันอิ่มตัวบางประเภท (เช่นน้ำมันจากสัตว์ และน้ำมันมะพร้าวที่ถูกเติมไฮโดรเจน)  ไปเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน (American Soybean Association - ASA) จึงถือโอกาสสรุปว่า น้ำมันอิ่มตัวทั้งหมดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และรณรงค์ให้ประชาชนเลิกบริโภคน้ำมันอิ่มตัว ซึ่งรวมทั้งน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม แล้วหันไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว (unsaturated oils) โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลือง

       การรณรงค์ได้ผลดีเกินคาด ทำให้การบริโภคน้ำมันมะพร้าวลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่สิ่งที่คนอเมริกันได้รับเพิ่มขึ้นหลังจากที่บริโภคน้ำมันถั่วเหลือง ก็คือน้ำหนักตัว และความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ และยังทำให้คนทั่วโลกที่บริโภคน้ำมันถั่วเหลืองพลอยรับบาปไปด้วย เพราะน้ำมันถั่วเหลืองเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว ที่หากนำไปหุงต้มที่อุณหภูมิสูง จะถูกเติมไฮโดรเจนแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมันทรานส์ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไปเพิ่มคอเลสเตอ-รอลในกระแสโลหิต และเกิดสารก่อมะเร็ง ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว ไม่เปลี่ยนเป็นพลังงานเมื่อบริโภคเข้าไปในร่างกาย แต่กลับเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมในร่างกาย ทำให้เป็นโรคอ้วน ไม่เหมือนน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นน้ำมันอิ่มตัว ไม่เกิดอนุมูลอิสระและไขมันทานส์เมื่อถูกกับอุณหภูมิสูง และเนื่องจากมีขนาดโมเลกุลปานกลาง จึงเคลื่อน ย้ายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปยังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และถูกใช้เป็นพลังงานในตับจนหมดสิ้น จึงไม่เหลือเป็นไขมันสะสมในร่างกาย

      Dr. Mary G. Enig, Director, Nutritional Sciences Division, Enig Associates, Inc. ได้เรียบเรียงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "Know Your Fats: The Complete Primer for Understanding the Nutrition of Fats, Oils and Cholesterol".  ในหนังสือเล่มนี้ Dr. Enig ได้กล่าวว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาด และบิดเบือนในวงการแพทย์ และสื่อสารมวลชนของน้ำมันอิ่มตัวธรรมชาติ กล่าวคือ น้ำมันเขตร้อน (Tropical Oils)  อันได้แก่น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม ได้รับการประณามว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็เพราะแรงผลักดันทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมน้ำมันพืชอเมริกัน ที่จริงแล้ว จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า น้ำมันเขตร้อน กลับเป็นตัวป้องกันโรคหัวใจ ดังเช่นในปี 1981 ได้มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ชาวพื้นเมืองในเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำในปริมาณสูง ไม่มีใครเป็นโรคหัวใจแต่อย่างใด แต่เมื่อชาวพื้นเมืองเหล่านี้ อพยพไปสู่ประเทศนิวซีแลนด์ และลดการบริโภคน้ำมันมะพร้าว ผลปรากฏว่า คอเลสเตอรอลรวม และ LDL เพิ่มขึ้น และ HDL กลับลดลง (Prior et al. 1981)

  นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ชาวอเมริกัน อีกหลายคน ที่ยังซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตน ได้ออกมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ บุคคลเหล่านี้ได้แก่ Dr. Bruce Fife (2000, 2004, 2005, 2006), Dr. Ray Peat (2004, 2005), Dr. Jon .J. Kabara (1978, 1985, 2004), Dr. O. Ravnskov (2000) และ Dr. Joseph Mercola (2003)


เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก


แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….
ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman
Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นแถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก Main stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell    อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรง ไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“ แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และ ขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตุ ตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้น ไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที
ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตุโรคหัวใจ และหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง  !!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว   ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว   แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า
ความเชื่อข้างต้นไม่เป็น
วิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมา เดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)
กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายุน้อยลงๆ
(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??


3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี
การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอล ต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรัน จับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี  
เช่น   น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาว และอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็น และทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้น ตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่อง เลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรา มีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควตา ( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7 กรัม แล้วแต่ขนาดตัว และปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว   อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป   น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือด จะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อ จึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็น หลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบบางจนช้ำ
จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละ เสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึง น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอกน้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้น มีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3
ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโป รโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช ( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า
” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชา กรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง  สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ
ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg
ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวาน
ทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

 

Akesirikul ผลิตและจำหน่าย ขายปลีก ขายส่งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น อมฤต ติดต่อสั่งซื้อ โทร 081 149 8997


สงวนลิขสิทธิ์ การออกแบบหน้าเว็บเพจเว็บไซต์สไตล์หน้าแรก index โดยAKE เอกสิริกุล ผู้ออกแบบ และเจ้าของลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอกเรียนแบบ ห้ามดัดแปลงใดๆในรูปแบบของหน้า Index